K
N
O
W
L
E
D
G
E
P A P E R L E S S
Paperless คืออะไร คือการลดการใช้กระดาษในการทำงานและในชีวิตประจำวัน เพื่อความประหยัด สะดวก รวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างอย่างคุ้มค่าอันจะนำไปสู่การสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน

ระบบ E-Paperless ของกรมศุลกากร
ระบบ E-Paperless เป็นระบบที่กรมศุลกากรประกาศให้มีการใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2549 เพื่อให้การดำเนินการพิธีการศุลกากรเป็นไปแบบไร้เอกสาร โดยเริ่มต้นใช้กับใบขนสินค้าขาออก และใบเคลื่อนย้ายสินค้า (Goods Control List) ส่วนใบขนขาเข้ายังคงให้เดินพิธีการศุลกากรด้วยระบบ EDI ตามเดิม โดยโครงการ E-Paperless นี้นอกจากจะใช้สำหรับการทำใบขนขาออกและขาเข้าแล้ว ยังครอบคลุมการดำเนินการพิธีการอย่างอื่นด้วย อาทิ
• การส่งข้อมูลใบเคลื่อนย้ายสินค้า (Goods Control List) ซึ่ง upgrade มาจาก E-Container ที่เคยอยู่บนระบบ EDI
• การส่งข้อมูลรายงานเรือเข้า (E-Manifest)
• การส่งข้อมูลการชำระภาษีขาเข้า (E-Payment)
กลุ่มผู้ใช้งานที่สามารถเข้าร่วมในงานใช้ระบบนี้ได้แก่ ผู้ส่งออก ตัวแทนส่งออก Shipping, Customs Brokerและผู้ให้บริการคีย์ใบขน (Service Counter) ซึ่งทางกรมศุลกากรยังคำนึงถึงประโยชน์จากการใช้ระบบ Paperless นี้อันได้แก่ ลดเอกสารที่ใช้ในการเดินพิธีการศุลกากร เช่นใบแนบต่างๆ  เตรียมพร้อมในการก้าวเข้าสู่ระบบอื่นๆ ได้ง่าย เพราะระบบใบขน Paperless เป็นจุดเริ่มต้นของโปรแกรมอื่นๆ ที่จะต้องใช้ร่วมกัน   ลดเวลาและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบ เพราะสามารถลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ผ่านหน้าอคอมพิวเตอร์ไปยังกรมศุลกากรได้ หรือกรณีที่ตัวแทนไม่ต้องการจะลงลายเซ็น ก็สามารถส่งข้อมูลใบขนไปให้ผู้ส่งออกเป็นผู้ลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้  และข้อมูลมีความปลอดภัยมากกว่าระบบเดิม เนื่องจากก่อนส่งข้อมูลทุกครั้งจะต้องมีการลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ก่อน และข้อมูลจะถูกเข้ารหัส จะมีเพียงกรมศุลกากรที่เดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดข้อมูลนั้นอ่านได้

 
 

ความเป็นมาและการเปรียบเทียบของการเปลี่ยนระบบต่างๆของกรมศุลกากรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

       Manualการผ่านพิธีการศุลกากรในรูปแบบเอกสาร (Manual) คือการจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า ใบขนสินค้าขาออก โดยจัดทำในรูปแบบเอกสาร โดยการนำเอกสารประกอบการทำใบขนฯ เช่น Invoice, Air Waybill, Packing list มาทำการตรวจสอบ คำนวณหา ราคา น้ำหนัก ปริมาณ ชนิดของ คำแปลชื่อสินค้า แล้วทำการพิมพ์ใบขนสินค้าตามแบบฟอร์มที่กรมศุลกากรกำหนด จัดชุดใบขนฯ 3 ชุด หลังจากนั้น ทำการตรวจสอบความถูกต้อง และนำไปผ่านพิธีการศุลกากร ตั้งแต่ การตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ในเอกสาร การประเมินราคาชำระอากร และทำการตรวจปล่อย ทุกอย่างต้องพบเจ้าหน้าที่ศุลกากรทุกขั้นตอน จนกว่าจะตรวจปล่อย

ปัญหาและอุปสรรคของระบบ Manual

1. การลงทะเบียนรับใบขน และการโพยชื่อนายตรวจ – ปริมาณงานไม่สมดุลกับอัตรากำลังคน ทำให้สิ้นเปลืองอัตรากำลัง และเวลาในการปฏิบัติงาน ไม่สามารถกำหนดเวลาแล้วเสร็จได้แน่นอน
2. การที่ผู้ประกอบการต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่โดยตรง – อาจเป็นช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ จากเงินใต้โต๊ะ และการติดสินบนต่างๆ
3. การบันทึกข้อมูลการตรวจปล่อย – มีความผิดพลาดบ่อย ข้อมูลไม่ชัดเจน เอกสารไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ใบขนค้างการดำเนินการนานจนเกินไป (10-20 วัน)
4. การบันทึกข้อมูลการรับบรรทุก – จากใบกำกับคอนเทนเนอร์ กับ Manifest เรือ นั้นมีความล่าช้าและความผิดพลาดในการส่งข้อมูลบัญชีเรือสินค้าของตัวแทนเรือนั้น ส่งผลให้ระบบการ MATCHING เกิดความล่าช้า ทำให้เกิดมีใบขนสินค้าค้าง
5. เอกสารในการดำเนินพิธีการศุลกากรมีมาก ทำให้เกิดความผิดพลาด และความล่าช้า ยากต่อการพัฒนาไปสู่ระบบการไร้เอกสาร (PAPERLESS SYSTEM)
6. การขอรับสำเนาใบขนสินค้า, ใบแนบ, และการจำลองใบขนสินค้า – ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการ
7. การป้องกันและปราบปราม การลักลอบ, หลีกเลี่ยง, หนีภาษี, สินค้าผิดกฎหมาย และการส่งออกโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ทำได้ยาก ไม่ทันเวลา เสี่ยงต่อความเสียหาย
จากปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นทำให้ผู้ประกอบการด้านนำเข้าส่งออกของไทยขาดความคล่องตัว และศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาระบบการผ่านพิธีการศุลกากรเป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ( EDI) แทน

การผ่านพิธีการศุลกากรในระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI)

     เป็นระบบที่ต้องส่งข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน VANS (Value Added Network Services) จากผู้ส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายผู้ให้บริการรับส่งข้อมูล ผ่านไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของศุลกากร เพื่อตรวจสอบตามข้อกำหนด (Profile) กรณีผ่านการตรวจสอบก็จะให้เลขที่ใบขนสินค้าหลังจากนั้นผู้ส่งข้อมูลจะทำการจัดพิมพ์ใบขนสินค้าลงในแบบฟอร์มที่กรมศุลกากรกำหนด และจัดชุดเอกสารเหมือนการผ่านพิธีการศุลกากรในรูปแบบเอกสาร จำนวน 3 ชุด โดยระบบ EDIจะมี 2 แบบ ได้แก่ระบบ Red Line ต้องผ่านการตรวจสอบเอกสารและตรวจปล่อยจากเจ้าหน้าที่ และ Green Line ไม่ต้องตรวจสอบเอกสารและไม่ต้องผ่านการตรวจปล่อย แต่การจัดเก็บเอกสารต่างๆ ยังมีความจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลไว้ในรูปแบบเอกสาร
กรมศุลกากรได้เปิดให้บริการผ่านพิธีการส่งออกด้วยระบบ EDI ณ สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ เป็นแห่งแรก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2541 เป็นต้นไป และมีการดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2543

เอกสารธุรกิจสำหรับการใช้ระบบอีดีไอกับการบริหารงานศุลกากร
กรมศุลกากรได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการใช้ระบบอีดีไอ สำหรับการบริหารงานศุลกากรแบบครบวงจรทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เอกสารธุรกิจประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการรับและส่งกันระหว่างกรมศุลกากรและผู้ประกอบการค้า ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จะถูกพัฒนาเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด โดยรวมถึงเอกสารดังต่อไปนี้
1. การรับส่งเอกสารใบขนสินค้าและบัญชีราคาสินค้าระหว่างกรมศุลกากร ผู้นำเข้า ผู้ส่งออกและตัวแทนออกของ
2. การรับส่งเอกสารบัญชีสินค้าระหว่างกรมศุลกากร บริษัทตัวแทนเรือและบริษัทตัวแทนสายการบินต่าง ๆ
3. การรับส่งเอกสารการชำระเงินค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ด้วยระบบ Electronic Funds Transfer (EFT)
4.การรับส่งเอกสารใบอนุญาตการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่างๆ
5. การรับส่งเอกสารธุรกิจด้านอื่น ๆ ด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกรมศุลกากรและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานศุลกากร
จากการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงจากการทำงานเอกสารด้วยกระดาษมาเป็นการใช้เทคโนโลยี EDI ย่อมมีทั้งประโยชน์ ปัญหาและอุปสรรคติดขัด รวมถึงเกิดการคัดค้านในระยะแรก ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ผู้ให้บริการ EDI(Vans) ผู้รับบริการ และปัญหาที่เกิดจากตัวระบบ EDI โดยสรุปได้ดังนี้

ประโยชน์จากการใช้ระบบ EDI
1. สามารถใช้บริการการออกของได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
2. สามารถใช้บริการการขอคืนอากรตามมาตร 19 ทวิ การคืนเงินอากรทั่วไป และการชดเชยค่าภาษีอากรได้รวดเร็วขึ้น
3. สามารถลดความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน
4. สามารถวางแผนการบริหารระบบสินค้าคงคลังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและการจัดการเอกสารต่างๆ
6. ลดปัญหาการดำเนินการเกี่ยวกับการดูแลเงินสดและเช็ค ด้วยการใช้ระบบการชำระเงินผ่านธนาคารทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT : Electronic Funds Transfer)
7. ทำให้มีระบบสารสนเทศที่ทันสมัย พร้อมที่จะนำมาใช้ในการบริหารงานได้รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์มากกว่าระบบ Manual
8. ลดปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ โดยการลดขั้นตอนในการพบหน้ากันของเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบการ

ปัญหาและอุปสรรคจากการใช้ระบบ EDI
1. ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานระบบ EDI ระบบจะเกิดการล้มเมื่อมีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก
2. ผู้ให้บริการ EDI (Vans) ในระบบการทำงาน EDI มีจำนวนน้อย ควรพัฒนาให้มีผู้ให้บริการ EDI เพิ่มขึ้นเพื่อเกิดการแข่งขันและพัฒนาที่ดีขึ้น
3. ปัญหาด้านเทคนิคการทำงานของระบบที่เกิดการขัดข้องในโปรแกรมต่างๆ เนื่องจากการพัฒนาของระบบที่ยังไม่สมบูรณ์
4. ปัญหาเรื่องต้นทุนของระบบสูงซึ่งเป็นปัญหาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ขาดการสนับสนุนทำให้การเชื่อมต่อ หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกิดความล่าช้า
5. เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรยังขาดความรู้ความเข้าใจในระบบ EDI ทั้งในส่วนของการใช้
6. ความไม่ปลอดภัยของเอกสาร เพราะเป็นการรับส่งแบบ Flat file สามารถเปิดอ่านได้
7. ในส่วนของด่านศุลกากรผู้ประกอบการหรือตัวแทนยังต้องเดินทางไปดำเนินการเองอยู่

 
การดำเนินพิธีการศุลกากรในรูปแบบไร้เอกสาร Paperless Customs (ปัจจุบัน)

    ระบบ Paperless Customs เป็นระบบที่กรมศุลกากรประกาศให้มีการใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2549 เพื่อให้การดำเนินการพิธีการศุลกากรเป็นไปแบบไร้เอกสาร โดยเริ่มต้นใช้กับใบขนสินค้าขาออก และใบเคลื่อนย้ายสินค้า (Goods Control List) ส่วนใบขนขาเข้ายังคงให้เดินพิธีการศุลกากรด้วยระบบ EDI ตามเดิม ประมาณเดือนพฤษภาคม 2551 กรมศุลกากรได้ยกเลิกระบบ EDI และเปลี่ยนมาใช้ Paperless Customs อย่างเต็มรูปแบบ
การผ่านพิธีการที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100% เริ่มตั้งแต่ การส่งข้อมูล INVOICE , ข้อมูลใบขนสินค้า, ผ่านผู้ให้บริการรับส่งข้อมูล (Vans) ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของศุลกากร เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตาม (Profile) ที่กำหนด ถ้าถูกต้อง เครื่องของกรมศุลกากรจะออกเลขที่ใบขนสินค้าให้ ถ้าไม่ถูกต้อง จะแจ้งกลับโดยบอกรหัสข้อผิดพลาด เพื่อให้ผู้ส่งข้อมูลทำการแก้ไขและส่งกลับไปตามช่องทางเดิม เพื่อตรวจสอบ ถ้าทุกอย่างถูกต้องจะออกเลขที่ใบขนสินค้าให้ ส่วนการตรวจปล่อยสินค้านั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร จะกำหนดเอง โดยการสุ่มตรวจอัตโนมัติ อนึ่งระบบจะมีการกำหนดโหมดไว้เป็น Green Line ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องตรวจปล่อย ยกเว้นกรณีถูกเครื่องสุ่มตรวจ สั่งการตรวจอัตโนมัติ ส่วนกรณี Red Line ต้องทำการตรวจสอบ พิกัดราคา และตรวจปล่อย ตามปกติ

คุณสมบัติของโปรแกรมเพื่อรองรับระบบ Paperless Customs
• สามารถเตรียมข้อมูล invoice บนหน้าจอเดียว โดยการคีย์หรือรับข้อมูล Invoice มาจากภายนอกเพื่อ import
เข้าโปรแกรม
• ต้องสามารถตรวจสอบสถานะของข้อมูลที่ส่งและรับ จากหน้าจอโปรแกรมได้
• ในกรณีที่ผู้ประกอบการใช้ EDI อยู่ต้องสามารถ Migrate ข้อมูลเข้าสู่ระบบ Paperless Customs ได้
• ควรมีความสามารถในการ export ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เช่น invoice ออกมาในรูปแบบไฟล์ต่างๆ ได้
เช่น Excel file เพื่อนำไปใช้งานต่างๆ ได้
• รองรับการพิมพ์ฟอร์มเอกสารต่างๆ กรณีที่ต้อง print ไปเดินพิธีการแบบ Manual
• สามารถพิมพ์ใบแนบต่างๆ ได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเตรียมหรือคีย์ข้อมูลนั้นใหม่
• สำคัญที่สุดของตัวโปรแกรมคือจะต้องสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำตามข้อกำหนดของกรมศุลกากร แม้กระทั่งในระดับจุดทศนิยม
• ต้องอำนวยความสะดวกในการ download ข้อมูลจากกรมศุลกากรได้ ยิ่งสามมารถทำจากหน้าจอโปรแกรมได้ยิ่งเป็นการดี เพราะจะช่วยประหยัดเวลา และทำให้user สะดวกในการใช้งาน
• ควรแยกฐานข้อมูลสินค้าตามแต่ละบริษัท เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้พิกัดศุลกากร
• ควรมีระบบการจัดการฐานข้อมูลให้ผู้ใช้บริการได้เลือก เช่น ACCESS, SQL, ORACLE เป็นต้น
• รองรับการลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระดับ Sign เอง หรือส่งให้ผู้อนุมัติเป็นผู้ Sign ให้

การจัดเตรียมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต้องใช้
• คอมพิวเตอร์ Celeron 800 MHz ขึ้นไป
• หน่วยความจำ 256 MB
• พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 500 MB
• Printer (ขอแนะนำให้ใช้ Epson แคร่ยาว)
• โมเด็ม 56k หรือ อินเตอร์เน็ทไฮสปีด ADSL
• ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 2000 หรือ XP
ขั้นตอนการใช้งานของระบบ Paperless Customs Customs
1. เตรียมข้อมูล Invoice และใบขนสินค้าลงบนโปรแกรมใบขน Ezy Plus ของ TIFFA
2. TIFFA แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ XML, ebXML
3. ลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ก่อนส่งไปยังกรมศุลกากร
4. ส่งข้อมูลไปกรมศุลกากร
5. กรมศุลกากร จะตรวจสอบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ว่าเป็นข้อมูลที่มาจากผู้ส่งจริงก่อน
จากนั้นจึงจะตรวจสอบเนื้อข้อมูลนั้น
6. กรมศุลกากร ตอบกลับ (Response) และให้เลขที่ใบขนกลับมา
7. เตรียมข้อมูลใบเคลื่อนย้ายสินค้า โดยดึงข้อมูลจากโปรแกรม Ezy Plus มาเข้า Goods Control List
8. TIFFA แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ XML, ebXML
9. ลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ และดำเนินการขั้นตอนเหมือน Invoice และใบขนสินค้า
10. เมื่อกรมศุลกากรตอบกลับมาแล้ว (Accept) ให้พิมพ์ใบเคลื่อนย้ายสินค้าให้คนรถนำไปยื่นที่ SUBGATE 11.นำใบเคลื่อนย้ายสินค้าไปตรวจปล่อย

ประโยชน์จากการใช้ระบบ Paperless Customs
• ลดเอกสารที่ใช้ในการเดินพิธีการศุลกากร เช่นใบแนบต่างๆ
• เตรียมพร้อมในการก้าวเข้าสู่ระบบอื่นๆ ได้ง่าย เพราะระบบใบขน Paperless Customs เป็นจุดเริ่มต้นของโปรแกรมอื่นๆ ที่จะต้องใช้ร่วมกัน
• ลดเวลาและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบ เพราะสามารถลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังกรมศุลกากรได้ หรือกรณีที่ตัวแทนไม่ต้องการจะลงลายเซ็น ก็สามารถส่งข้อมูลใบขนไปให้ผู้ส่งออกเป็นผู้ลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้
• ข้อมูลมีความปลอดภัยมากกว่าระบบเดิม เนื่องจากก่อนส่งข้อมูลทุกครั้งจะต้องมีการลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ก่อน และข้อมูลจะถูกเข้ารหัส จะมีเพียงกรมศุลกากรที่เดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดข้อมูลนั้นอ่านได้

ปัญหาและอุปสรรคในการใช้ระบบ Paperless Customs
• เกิดอุปสรรคจากการใช้โปรแกรมทั้งส่วนของเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการ ทำให้ต้องมีการฝึกอบรมใหม่
• พันธมิตรของหน่วยงานภาครัฐยังไม่ความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลในปัจจุบันทั้ง BOI การนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้ยังจำเป็นต้องใช้เอกสารประกอบการดำเนินการอยู่
• ด้านต้นทุน ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ค่าใช้จ่ายในการวางระบบเครือข่าย การเปลี่ยนซอพต์แวร์และติดตั้งระบบปฏิบัติการเป็นต้น ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง
• โปรแกรมการทำงานมีความแตกต่างในแต่ละส่วน ทำให้เกิดความผิดพลาดในการรับ – ส่งข้อมูลกับกรมศุลกากร

ตารางเปรียบเทียบในระบบ EDI กับระบบ Paperless

คุณสมบัติของโปรแกรมเพื่อรองรับระบบ Paperless Customs
• สามารถเตรียมข้อมูล invoice บนหน้าจอเดียว โดยการคีย์หรือรับข้อมูล Invoice มาจากภายนอกเพื่อ import เข้าโปรแกรม
• ต้องสามารถตรวจสอบสถานะของข้อมูลที่ส่งและรับ จากหน้าจอโปรแกรมได้
• ในกรณีที่ผู้ประกอบการใช้ EDI อยู่ต้องสามารถ Migrate ข้อมูลเข้าสู่ระบบ Paperless Customs ได้
• ควรมีความสามารถในการ export ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เช่น invoice ออกมาในรูปแบบไฟล์ต่างๆ ได้
เช่น Excel file เพื่อนำไปใช้งานต่างๆ ได้
• รองรับการพิมพ์ฟอร์มเอกสารต่างๆ กรณีที่ต้อง print ไปเดินพิธีการแบบ Manual
• สามารถพิมพ์ใบแนบต่างๆ ได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเตรียมหรือคีย์ข้อมูลนั้นใหม่
• สำคัญที่สุดของตัวโปรแกรมคือจะต้องสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำตามข้อกำหนดของกรมศุลกากร แม้กระทั่งในระดับจุดทศนิยม
• ต้องอำนวยความสะดวกในการ download ข้อมูลจากกรมศุลกากรได้ ยิ่งสามมารถทำจากหน้าจอโปรแกรมได้ยิ่งเป็นการดี เพราะจะช่วยประหยัดเวลา และทำให้user สะดวกในการใช้งาน
• ควรแยกฐานข้อมูลสินค้าตามแต่ละบริษัท เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้พิกัดศุลกากร
• ควรมีระบบการจัดการฐานข้อมูลให้ผู้ใช้บริการได้เลือก เช่น ACCESS, SQL, ORACLE เป็นต้น
• รองรับการลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระดับ Sign เอง หรือส่งให้ผู้อนุมัติเป็นผู้ Sign ให้